top of page

7เรื่องที่จะทำให้คุณรู้ว่าทำไมเฮียคนนี้ถึง "Happy"นัก

โปรดิวเซอร์นักดนตรีผิวสีคนนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับ ความสำเร็จที่ไม่ใช่แค่ชั่วข้ามคืน!! ..แบบอย่างที่ช่วงทศวรรตหลังๆนี้เราจะได้พบเห็นกันเป็นอันมาก(มาไวไปไว)...เพราะสำหรับเขาแล้ว Pharrell Williams ..ในแวดวงดนตรีและแฟชั่นของอเมริกา เฮียแกแทบจะเป็น "ปู่" ของวงการเลยล่ะ..อ่ะ!!หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงเรียกเขาว่าปู่..จากนี้จะเป็นเรื่องที่คุณอาจไม่รู้ เกี่ยวกับเฮีย Pharrell Williams เช่น..จริงๆแล้วเฮียแกอายุเท่าไหร่กันแน่?!?

pharrellWilliams_age_teen_20_30_40-1.jpg

7. เขาว่ากันว่า เฮียแกเป็น “อมตะ”

ถ้าคุณเจอ Pharrell Williams ตัวเป็นๆเดินผ่านหน้าคุณอาจจะคิดว่า..นั้นมันพ่อหนุ่มน้อยผิวสีคนดัง แต่อยากจะเชื่อว่าเห็นหน้าเด็กๆอย่างนี้แต่ เฮียแกคนนี้ปาเข้าไปเลขสี่หลักแล้วแล้ว!!..อย่าตกค่ะเฮียแกไม่ใช่แวมไพร์หรอกนะ เขาเกิดในปี1973และปีนี้ก็จะประมาณ 42ปี มีข่าวเมาท์มาว่าสาเหตุที่เฮียแกน่าตาดูเยาว์วัยตลอดกาลนั้นเพราะเขามีเลือดของชาวเอเชีย(ฟิลิปีโน)ผสมอยู่ (ใครมีเพื่อนฝรั่งจะเข้าใจข้อนี้ เมื่อลองเอาหน้าเขาและเรามาเทียบอายุกัน)

pharrell-celebrity-skateboard.jpg

6.วัยเด็กที่ไม่เรียบง่าย สไตล์อเมริกัน

สำหรับพรสวรรค์ของเขาได้มาจากไหนนั้นยังไม่แน่ใจ เขาเกิดมาโดยมีพ่อเป็นช่างซ่อมและแม่รับอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ ..แถมยังเคยมีชีวิตแบบอเมริกันชน โดยช่วงเด็กๆเขาเคยทำงานที่ McDonalds’ ด้วย! แถมยังเคยถูกไล่ออกจาก3ร้านอาหารที่เขาทำงาน และขณะสมัครร้านที่4 ก็มีคนพูดว่า “อย่าจ้างเขา!? เพราะทำแฮมเบอเกอร์ไหม้..แถมยังชอบขโมยนักเก็ตกินอีกต่างหาก!!!”

แต่ชีวิตอาจจะเริ่มแหวกๆมาหน่อย หลังจากวัยเด็กที่เกือบจะเอาดีตามพี่ชายที่เป็นนักสเก็ตบอร์ดมืออาชีพ..เขายังเคยได้ฉายา Skateboard P มาตอนนั้นด้วย..

band classic.jpg

5.เมื่อ “จังหวะ” กลายมาลิขิตชีวิต

เขาสตาร์ทเส้นทางสายนี้โดยการเป็นส่วนหนึ่งของวงมาร์ชสมัยอยู่โรงเรียน โดยเขาเริ่มหลงใหลในกลองและคีบอร์ดมานับจากนั้น ขณะแสดงโชว์ที่โรงเรียนมัธยมปลายของเขา ก็ได้พบกับ Teddy Riley นักดนตรีและโปรดิวเซอร์ชื่อดัง ที่สตูดิโอของเขาอยู่ถัดไปทางขวาจากโรงเรียน และนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเขาเลยล่ะ

4.ใครจะคาดคิดว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเห่ยๆ

จากการที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของวงมาชร์ เฮียแกเลยถูกส่งไปฝึกที่ Bandcamp (แคมดุริยางค์สถานที่รวมเด็กละอ่อนและเด็กเนริดผู้รักดนตรี) แต่ใครจะรู้ว่าที่เห่ยๆนี้เองเขาได้พบกับ Chad Hugo และต่อมาได้รวมตัวกับเพื่อนๆอีก2คน ตั้งกลุ่ม R&Bที่ชื่อว่า The Neptunesขึ้น และนั้นเองที่ดึงความสนใจต่อ Teddy Riley คนที่กล่าวไปก่อนหน้า..และต่อมาพวกเขาได้เซ็นสัญญากับ Riley และสำหรับ Pharrell แล้วนั้นเป็นโอกาสที่ดีที่เขาได้เรียนรู้การโปรดิวซ์และทำโปรดักชั่นจาก Riley

The Neptunes.jpg

3.เมื่อ ดาวNeptune เข้าสู่วงโคจร

หลังจากการเลิกของวง The Neptunes ตัว Pharrellเองเกิดไอเดียที่อยากลองทำโปรดักชั่นเป็นของตัวเองดู เขาเลยชวนเพื่อนรักของเขาอย่า Chad Hugo มาสร้าง Production Duo โดยกลับมาใช้ชื่อว่า “The Neptunes”อีกครั้ง โดยความสำเร็จจากแก๊งค์นี้ เริ่มมาจาก เพลง ‘Slave 4U’ของ Britney Spears ได้รับการโปรดิวซ์โดยจาก The Neptunes และเป็นซิงเกิ้ลแรกของทั้งคู่ที่ติดTop Charts ในปี 2001ซึ่งความสำเร็จนี้ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นที่จับตาของวงการ ต่อมาในปี 2003 The Neptunes โปรดักชั่นของอาเฮียได้โปรดิวซ์เพลงไป 43% ของเพลงที่เปิดในวิทยุของอเมริกาและอีก20%ที่เปิดในวิทยุของอังกฤษด้วยเช่นกัน และThe Neptunesยัง ได้โปรดิวซ์อัลบั้ม Justified ของ Justin Timberlake จนได้การยอมรับเป็น Platinum album ถึง3ครั้ง

GQ-Awards-Pharrell-Williams-Solo-Artist-of-the-Year.jpg

2.บุคคลมหัศจรรย์ของโลกดนตรี

สำหรับตัว Pharrell นั้นถือว่าเป็นมนุษย์ที่มีพรสวรรค์อย่างล้นหลาม ดูเหมือนเขาจะประสพความสำเร็จในทุกๆอย่างที่เขาเป็น ทั้ง singer-songwriter, rapper, record producer หลังจากที่ The Neptunes ไปได้ไกลมากๆแล้ว ตัวเขาก็มาตั้งหน้าตั้งตาออกอัลบั้มเดียว ที่ดังเป็นพลุแตกอย่าง In My Mind ในช่วงปี2006 และจากนั้นก็ได้รับรางวัลมากมาย เขาได้รับถึง 2รางวัลใน Grammy Award ไม่ใช่แค่ Producer of the year แต่ยังมีรางวัล Best Pop Vocal Album สำหรับอัลบั้มดัง ‘Justified’ ของ Justin Timberlake ที่เขาโปรดิวซ์อีกด้วย....เนื่องจากความโด่งดังที่ส่งให้เจ้าตัวเนื้อหอมจัด และได้ร่วมงานกับศิลปินดังๆมากมาย ที่เขาร้องเพลงด้วยและโปรดิวซ์งานให้ ไม่ว่าจะเป็น Shakira, Jennifer Lopez, The Game, Lupe Fiasco, Beyonce, Usher, Frank Ocean และคนอื่นอีกมากมาย และนอกจากความสามารถทางดนตรี เขายังเป็นนักลงทุนและแฟชั่นนิสต้าด้วย ทั้ง ‘Ice Cream Footwear’ และแบรนด์เสื้อผ้าอย่าง ‘Billionaires Boys Club’ อีกด้วย

pharrell-despicable-me-2-m-.jpg

1.อิทธิพลของ“Minions” เจ้าตัวเหลือง

อาจจะเป็นเพราะอิทธพลจากลูกชายตัวน้อยของเขา Rocket Man Williams(ชื่อสุดเจ๋งนี้ได้แรงบรรดาลใจจากเพลง“Rocket Man”ของ ​Elton John) ซึ่งทำให้เจ้าตัวตัดสินใจร่วมงานกับ Hans Zimmer ทำเพลงประกอบภาพยนต์อนิเมชั่นสุดฮิตอย่าง Despicable Me ทั้งภาค1และ2 ยิ่งภาคสองเขายังได้คลอดเพลง “Happy” ที่นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้ กับครั้งแรกของโลกที่มีมิวสิกวีดีโอ 24ชั่วโมง(คนดังแห่มาเต้นเพียบ ทั้ง Magic Johnson, Steve Carell, Jimmy Kimmel, Jamie Foxx, Odd Future, Miranda Cosgrove, Janelle Monáe, และอีกมาก) สำหรับ Pharrell Williams แล้วเขาสุดยอดนักทำเพลง..ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยได้อย่างแท้จริง

Featured Posts
Recent Posts
Archive
Search By Tags
Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
bottom of page